ปรากฏการณ์ลาออกครั้งใหญ่

ปรากฏการณ์ลาออกครั้งใหญ่ ปัญหาโลกยุคใหม่ที่ทุกธุรกิจควรรู้เท่าทัน

ท่ามกลางวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีชื่อว่า “The Great Resignation” หรือ “การ ลาออก ครั้งใหญ่” โดยตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ที่ผ่านมา แม้สภาพเศรษฐกิจจะดูเหมือนกระเตื้องฟื้นตัวขึ้น แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว มีผู้คนได้ตัดสินใจ ลาออก เป็นจำนวนมากจากงานที่ทำอยู่ ซึ่งในความเป็นจริง ยิ่งเกิดวิกฤต พวกเขาน่าจะยิ่งไม่ควรปล่อยมือจากงานที่มั่นคงเลย

โดยในเดือนเมษายน มีรายงานว่า แรงงานกว่า 4 ล้านคนในสหรัฐฯ ลาออกจากงาน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 2.7% ของ Work Force ในอเมริกา และตามมาด้วยในเดือนพฤษภาคมอีกประมาณ 3.6 ล้านคน (แหล่งข้อมูลจาก MAGNIFYMONEY SURVEY) ซึ่งในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงเท่านี้ เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจลาออกจากงานนั้น เป็นเพราะ

1.ติดใจการทำงานแบบ Work From Home

วิกฤตโควิดทำให้ผู้คนเคยชินกับการทำงานแบบ Work From Home และ Work From Anywhere มากขึ้น ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะรูปแบบการทำงานดังกล่าวเปิดโอกาสให้สร้างสมดุลชีวิตได้ดีกว่า ทำงานได้อย่างมี Productivity  มากกว่า หลาย ๆ คน ที่มีลูกอ่อน มีคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องดูแล จะรู้สึกว่า สามารถที่จะทำหน้าที่ส่วนตัวไปพร้อม ๆ กับการทำผลงานให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี

ดังนั้น เมื่อถูกบังคับให้ต้องกลับไปทำงานในรูปแบบปกติ ซึ่งมีรายงานว่า 1 ใน 3 ของ Work Force ในอเมริกา ถูกสั่งให้กลับไปทำงานประจำออฟฟิศตามเดิม จึงทำให้เกิดการตัดสินใจลาออก หรือในขณะเดียวกันแม้จะเป็นในรูปแบบ Hybrid คือ ผสมสลับระหว่าง Work From Home กับ การทำงานแบบเดิมที่ออฟฟิศ ก็ยังไม่ตอบโจทย์ จึงนำไปสู่การตัดสินใจลาออกในที่สุด

2.ตระหนักได้ถึงความจริงใจที่แท้จริงของบริษัท

วิกฤตการณ์โควิด ทำให้พนักงานทุกคนเรียนรู้ได้ว่าบริษัทมีความจริงใจกับพวกเขามากแค่ไหน มีความตั้งใจที่จะดูแลช่วยเหลือพวกเขามากน้อยเพียงใด โดยในช่วงเวลาที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการ Work From Home ยังคงมีหลายบริษัท ที่บังคับให้พนักงานไปทำงานที่ออฟฟิศตามเดิม ซึ่งแม้จะมีเหตุผลที่น่าเห็นใจ แต่พนักงานจะรู้สึกว่าบริษัทไม่ได้พยายามที่จะหาทางเลือกให้กับพวกเขา และรู้สึกว่าไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลือ ไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจ จึงทำให้ตัดสินใจลาออกในท้ายที่สุด

3.ผู้คนจำนวนมากเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน

การต้องปรับตัวกับวิธีการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป เผชิญหน้ากับปัญหาวิกฤตการณ์โควิด ปัญหาในหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ส่งผลทำให้ผู้คนรู้สึก Burn Out เหนื่อย หดหู่ที่จะทำงาน ซึ่งบางทีก็ไม่คุ้มกับค่าจ้าง เพราะมีหลาย ๆ บริษัทต้องหักเงินเดือน หรือปรับลดผลตอบแทนพนักงานลง แลกกับการทำงานแบบ Work From Home

โดยผู้คนในสหรัฐฯ ให้ความเห็นตรงกันว่า “มันไม่คุ้มค่าจ้างพวกเขา” ชีวิตของพวกเขามีความหมายมากกว่านี้ ประกอบกับแนวทางการทำงานแบบอิสระ หรือ Freelance และ Gig Work Force กำลังค่อย ๆ ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นเทรนด์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตการทำงานของผู้คน จึงทำให้หลาย ๆ คนตัดสินใจที่จะลาออกจากการทำงานประจำแบบเดิม เพื่อมุ่งสู่วิถีชีวิตการทำงานแนวใหม่แห่งโลกอนาคต

3 เหตุผลสำคัญข้างต้น เป็นคำตอบที่ได้มาจากการสำรวจซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะกับคนอเมริกันเท่านั้น แต่ปรากฏการณ์ลาออกครั้งใหญ่ “The Great Resignation” กำลังค่อย ๆ เกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ ด้วย ที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น บริษัทไมโครซอฟต์ ที่ได้ทำแบบสำรวจแล้วพบว่า กว่า 41% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คิดว่าจะลาออก ในขณะที่แบบสำรวจของทางฝั่งอังกฤษและไอร์แลนด์ ก็พบว่า 38% ของพนักงานผู้ตอบแบบสอบถาม วางแผนจะลาออกในอีก 6 เดือน

ข้อมูลความเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นสิ่งที่กำลังบอก HR ผู้บริหาร และเจ้าของกิจการทุกคนว่า เรากำลังต้องวางแผนปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในอนาคต ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อดูแลรักษาพนักงานของเราเอาไว้ เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ก็มีโอกาสที่ปรากฏการณ์ครั้งใหญ่นี้จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้เช่นกัน และการเสนอผลประโยชน์ให้กับพนักงานเพื่อฉุดรั้งเขาเอาไว้นั้น ก็อาจไม่ใช่ทางแก้ไขที่ถูกต้องเสมอไป เพราะบริษัทเองก็อาจยังไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่พร้อมมากพอ และตัวพนักงานเองก็อาจมีปัญหาอื่นที่อยากให้แก้ไข

ทั้งนี้ การรับฟังความคิดเห็นของพนักงานจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้สามารถหาทางออก และปรับตัวแก้ไขได้อย่างเหมาะสมที่สุด เพราะลึก ๆ แล้ว พนักงานทุกคนไม่ได้อยากลาออก เพียงแต่อาจมีบางอย่างที่เป็นปัญหาในใจ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการใส่ใจ รับฟัง ให้ Feedback และแก้ไขให้ตรงจุด

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *